เมนู

คนทั้งหลายที่ทำบุญไว้แล้ว ย่อมได้ผลเช่นนี้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึง
สำเร็จแก่ดิฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่
ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ดีฉันได้ทำบุญอันใดไว้
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบทุติยนาวาวิมาน

อรรถกถาทุติยนาวาวิมาน


ทุติยนาวาวิมาน มีคาถาว่า สุวณฺณจฺฉทนํ นาวํ เป็นต้น. ทุติย-
นาวาวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พระเถระขีณาสพ
รูปหนึ่ง เมื่อจวนวันจะเข้าพรรษา ประสงค์จะจำพรรษา ณ วัดใกล้
หมู่บ้าน จึงออกจากกรุงสาวัตถี เดินทางไกล ภายหลังฉันอาหารแล้ว
มุ่งเฉพาะหมู่บ้านนั้น ลำบากกาย กระหายน้ำ เพราะเดินทางเหนื่อย
ระหว่างทาง ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไม่เห็นสถานที่ที่มีร่มเงาและน้ำพร้อม
เช่นนั้น นอกหมู่บ้าน ถูกความเหน็ดเหนื่อยครอบงำ จึงห่มจีวรเข้าไป
ยังหมู่บ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังใกล้ ๆ นั่นแล. ณ เรือนหลังนั้น หญิง
ผู้หนึ่งเห็นพระเถระ จึงถามว่า ท่านมาแต่ไหนเจ้าคะ รู้ว่าท่านเดินทาง
เหนื่อย และกระหายน้ำ จึงกล่าวว่า มาเถิดเจ้าข้า แล้วนิมนต์ให้เข้าไปยัง
เรือน กล่าวว่า นิมนต์นั่งตรงนี้เจ้าค่ะ แล้วปูลาดอาสนะถวาย เมื่อพระ-

เถระนั่งเหนืออาสนะนั้นแล้ว นางก็ถวายน้ำล้างเท้าและน้ำมันชโลมเท้า
ถือพัดใบตาลพัดถวาย. เมื่อความเร่าร้อนสงบแล้ว นางก็ปรุงน้ำปานะ
หวานเย็นหอมถวาย. พระเถระดื่มน้ำปานะนั้นแล้ว ก็สงบความลำบาก
กายลง ทำอนุโมทนาแล้วก็หลีกไป. ต่อมาภายหลัง นางก็ตายไปบังเกิด
ในภพดาวดึงส์. เรื่องทั้งหมดพึงทราบว่า ก็เช่นเดียวกับวิมานในลำดับก่อน
แม้ในคาถาทั้งหลาย ก็เคยกล่าวไว้ทั้งนั้น.
ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จงกล่าวว่า ท่านพระ-
โมคคัลลานะ ถามว่า
ดูก่อนเทพนารี ท่านขึ้นเรือปิดทอง ท่าน
ลงเล่นสระโบกขรณี หักปทุมด้วยมือ. กูฏาคารนิเวศ
ของท่าน จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็น
ส่วนสัด เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างรอบสี่ทิศ. เพราะ
บุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญ
อะไร ผลนี้จิตสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่าง
ที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถาม
ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะ
บุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้น ถูกท่านพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหา โดยอาการที่ท่านถึงกรรม
ที่มีผลดังนี้ว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ดีฉันพบพระภิกษุที่ลำบากกาย กระหาย
น้ำ จึงขวนขวายถวายน้ำให้ท่านดื่ม. ผู้ใดแล ขวน-
ขวายถวายน้ำแก่พระภิกษุผู้ลำบากกาย กระหายน้ำ
ให้ท่านดื่ม แม่น้ำหลายสาย ที่มีน้ำเย็น มีสวนไม้
มากมีบัวขาวมากย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น แม่น้ำที่มีหลายสาย
ย่อมรายล้อมวิมานนั้นเป็นประจำ มีแม่น้ำที่มีน้ำเย็น
ลาดด้วยทราย มีมะม่วง สาละ หมากหอม หว้า
ราชพฤกษ์ และแคฝอยที่มีดอกบานสะพรั่ง. คนทำ
บุญแล้ว ย่อมได้วิมานอันประเสริฐสุด ที่ประกอบ
ด้วยภูมิภาคเช่นนั้น อันสง่างามหนักหนา นี้เป็นผล
ของกรรมนั้นเท่านั้น ผู้ทำบุญแล้วย่อมได้รับผลเช่นนี้.
เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะ
บุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่าง
ที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.

ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันขอบอก
แก่ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันได้กระทำบุญใดไว้
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

แม้บรรดาอรรถกถาทั้งหลาย ในอรรถกถานี้ ก็ต้องกล่าวว่า เอโกว
เถโร
พระเถระรูปหนึ่งเหมือนกัน.
จบอรรถกถาทุติยนาวาวิมาน

8. ตตินาวาวิมาน


ว่าด้วยนาวาวิมาน 3


[8] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
ดูก่อนเทพนารี ท่านขึ้นนั่งนาวาวิมาน อันมุง
บังด้วยทอง ลงเล่นสระโบกขรณี หักดอกปทุมด้วย
มือ กูฏาคารนิเวศของท่าน จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประ-
หนึ่งเนรมิตเป็นส่วนสัด เมื่อส่องแสงก็สว่างไปโดย
รอบทั้งสี่ทิศ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้
เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะ
ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ตถาคตขอถามท่าน
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญ
อะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้น ถูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถาม
แล้วดีใจ ครั้นแล้วก็ทูลตอปัญหาของกรรมที่มีผล
อย่างนี้ว่า

ในชาติก่อน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์
ในมนุษยโลก ข้าพระองค์ได้เห็นภิกษุหลายรูป ลำ-
บากกาย กระหายน้ำ จงขึ้นขวายถวายน้ำฉัน
ผู้ใดแล ขวนขวายได้ถวายน้ำฉัน แก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ลำบากกาย กระหายน้ำมา แม่น้ำหลายสาย มีน้ำ